วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Assignment 1
คำถาม
1.smartphone คืออะไร
มีประโยชน์อย่างไรบ้าง บอกมา 5 ประการ
smartphone คืออะไร
smartphone คือ โทรศัพท์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ ต่างๆได้ เสมือนยกเอาคุณสมบัติที่ PDA และคอมพิวเตอร์มาไว้ในโทรศัพท์ เช่น iOS (ที่ลงในมือถือรุ่น Iphone) ,BlackBerry OS, Android OS Windows phone 7 และ Symbian Os (Nokia) เป็นต้น ซึ่งทำให้ สมาร์ทโฟน สามารถลงโปแกรมเพิ่มเติม (Application) ได้ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโทรศัพท์ในยุคแรก ๆ มีความสามารถในการโทรออก และรับสาย โดยที่ตัวเครื่องไม่ต้องยึดติดด้วยสายก็ถือว่าเป็นโทรศัพท์ที่น่าใช้งานแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีความทันสมัยเพิ่มมากขึ้นทำให้สามารถผลิตเครื่องโทรศัพท์ที่มีความเร็ว และความจุเทียบเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถนำระบบปฏิบัติการลงไปใส่ในเครื่องโทรศัพท์ได้ และเป็นที่มาของโทรศัพท์ที่เรียกติดปากกันว่า Smart Phone
smartphone คืออะไร
smartphone คือ โทรศัพท์ที่รองรับระบบปฏิบัติการ ต่างๆได้ เสมือนยกเอาคุณสมบัติที่ PDA และคอมพิวเตอร์มาไว้ในโทรศัพท์ เช่น iOS (ที่ลงในมือถือรุ่น Iphone) ,BlackBerry OS, Android OS Windows phone 7 และ Symbian Os (Nokia) เป็นต้น ซึ่งทำให้ สมาร์ทโฟน สามารถลงโปแกรมเพิ่มเติม (Application) ได้ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโทรศัพท์ในยุคแรก ๆ มีความสามารถในการโทรออก และรับสาย โดยที่ตัวเครื่องไม่ต้องยึดติดด้วยสายก็ถือว่าเป็นโทรศัพท์ที่น่าใช้งานแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีความทันสมัยเพิ่มมากขึ้นทำให้สามารถผลิตเครื่องโทรศัพท์ที่มีความเร็ว และความจุเทียบเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถนำระบบปฏิบัติการลงไปใส่ในเครื่องโทรศัพท์ได้ และเป็นที่มาของโทรศัพท์ที่เรียกติดปากกันว่า Smart Phone
Smart Phone
คือโทรศัพท์ที่มีความสามารถมากกว่าการโทรออกและรับสาย ด้วยความที่ Smart Phone
มีระบบปฏิบัติการอยู่ภายใน ทำให้มันสามารถทำงานได้ในลักษณะเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์
เมื่อเราซื้อ Smart
Phone
สิ่งที่เราจะได้มาพร้อมกับเครื่องก็คือ ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ ๆ เช่น Android, iOS,
Windows mobile เวอร์ชั่นต่าง ๆ
นอกจากนี้จะมีโปรแกรมต่าง ๆ
ที่ติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องโทรศัพท์จำนวนหนึ่ง โปรแกรมเหล่านี้มักถูกเรียกว่า
"แอ็พ" โดยมีทั้งแบบที่สามารถ Download มาใช้งานได้ฟรี
และแบบที่ต้องเสียสตางค์ซื้อ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องมีคู่กับ Smart Phone ก็คือ Internet ซึ่งปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายค่าย
และมี Internet ความเร็วต่าง ๆ ให้ได้เลือกใช้งาน เช่น Wifi,
EDGE/GPRS, 3G เป็นต้น
หากคุณกำลังมองหาโทรศัพท์ตัวใหม่ แนะนำให้เลือกซื้อโทรศัพท์ที่เป็น Smart
Phone แล้วคุณจะรู้ว่า การใช้ชีวิตประจำวันของคุณ ง่ายขึ้นมาก
1.ทำตารางนัดหมาย/ contact / สมุดบันทึก
โดย sync กับ account ต่างๆ
2. ติดต่อ email / facebook
3. หาข้อมูล / เช็คข่าวสาร / อ่าน webboard / ตรวจสอบสภาพอากาศ / เช็ครอบภาพยนตร์
4. ฟังเพลง / ดูคลิป / ดู TV แบบ online
5. แผนที่ / การนำทาง / สภาพการจราจร (อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจใช้ smartphone)
2. ติดต่อ email / facebook
3. หาข้อมูล / เช็คข่าวสาร / อ่าน webboard / ตรวจสอบสภาพอากาศ / เช็ครอบภาพยนตร์
4. ฟังเพลง / ดูคลิป / ดู TV แบบ online
5. แผนที่ / การนำทาง / สภาพการจราจร (อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจใช้ smartphone)
2.Android
คือะไร ปกติ จะพบสิ่งนี้ที่ไหน
แอนดรอยด์ (อังกฤษ: android) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา
เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ เน็ตบุ๊ก
ทำงานบนลินุกซ์
เคอร์เนล เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ (อังกฤษ: Android
Inc.) จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิล
และนำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ภายหลังถูกพัฒนาในนามของ Open
Handset Alliance[2]
ทางกูเกิลได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ดต่างๆ ด้วยภาษาจาวา
และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries ที่กูเกิลพัฒนาขึ้น
แอนดรอยด์ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อวันที่
5
พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
โดยทางกูเกิลได้ประกาศก่อตั้ง Open Handset Alliance[3]
กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสาร 48 แห่ง
ที่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา มาตรฐานเปิด
สำหรับอุปกรณ์มือถือ ลิขสิทธิ์ของโค้ดแอนดรอยด์นี้จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรี
โทรศัพท์เครื่องแรกที่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้คือ
เอชทีซี ดรีม
ออกจำหน่ายเมื่อ 22 ตุลาคม 2551[4] เวอร์ชันล่าสุดของแอนดรอยด์คือ
4.2 (JellyBean) ความสามารถใหม่ของ แอนดรอยด์ 4.2
ที่เพิ่มขึ้นมาคือ Photo Sphere ที่สามารถถ่ายรูปได้ 360
องศา และ Keyboard Gestures ที่สามารถลากนิ้วแทนการสัมผัสตัวอักษรได้
1)Iphome 2) Samsung
Galaxy 3) Smartphone
Cyber bully หมายถึง การกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์คือการประทุษร้าย
หรือทำใหก้ผู้อื่นอับอายผ่านทางการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล์
การส่งข้อความ บล็อค เว็บไวต์ ชุมชนออนไลนื และดทรศัพทื
ที่สิ่งนักเลงไซเบอร์ตั้งใจคือ การแสดงความเป็นศัตรูแสดงออกในแง่ลบต่ออีกฝ่ายหนึ่งนั่นเอง
การรังแกกันของเด็กๆ
ที่เรารับรู้กันมานานและยังคงพบเห็นอยู่ในสังคมปัจจุบันคือการรังแกกันด้านกายภาพหรือการทำร้ายกันตัวต่อตัว
เช่น พี่ตัวโตรังแกน้องตัวเล็ก การชกต่อยระหว่างเด็กๆ ด้วยกัน
โดยจะเป็นการทำร้ายที่มองเห็นได้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้กระทำและใครตกเป็นเหยื่อแต่ปัจจุบัน
เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ทำให้เกิดช่องทางของการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด เพื่อปลดปล่อยความรุนแรงรูปแบบใหม่
ที่เรียกว่า Cyberbullying (การรังแกกันผ่านโลกไซเบอร์)
ที่ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้กระทำความรุนแรงได้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ
“Cyberbullying คือ การรังแกกันผ่านโลกไซเบอร์ระหว่างเด็กกระทำต่อเด็กด้วยกัน
โดยรูปแบบการรังแกกันมีทั้งการใส่ร้ายป้ายสี การใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อว่าผู้อื่น
หรือการส่งต่อข้อมูลลับเพื่อทำให้ผู้อื่นเสียหายผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่การส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ
โดยการรังแกกันจะต้องมีความต่อเนื่อง
และทำให้ฝ่ายที่ถูกกระทำรู้สึกเจ็บปวดหรือได้รับผลกระทบทางจิตใจ”
Cyberbullying เป็นความรุนแรงที่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ ซึ่งสามารถทำความรุนแรงกับใคร
ที่ไหน หรือเมื่อไรก็ได้ และผู้กระทำก็สามารถจะตอกย้ำความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
โดยที่สักวันหนึ่งเหยื่อที่เคยถูกกระทำ
ก็อาจกลับมาเป็นผู้กระทำความรุนแรงเองเพื่อแก้แค้น
เป็นวงจรความรุนแรงที่ไม่มีจุดจบ
ด้วยเห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เขาก็ทำกัน
ซึ่งผลกระทบก็คือความรุนแรงและบาดแผลที่เกาะกินในจิตใจของเด็กๆ
Cyber
bullying ที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน
งานสำรวจเด็กในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่ามีเด็กถึง 48% ที่อยู่ในวงจร Cyber bullying โดยอาจเป็นทั้งผู้กระทำ เหยื่อ และผู้เฝ้าดูหรือส่งต่อข้อมูลไปยังกลุ่มอื่นๆ
ความรุนแรงของการทำร้ายกันผ่านโลกไซเบอร์ ที่พบเห็นในเมืองไทย มีมากมายหลายรูปแบบ อาทิเช่น เด็ก ที่เป็นเหยื่อต้องลาออกจากโรงเรียน อยู่ในภาวะเครียด นอนไม่หลับ และเป็นโรควิตกกังวล แต่ในประเทศญี่ปุ่น วงจรนี้รุนแรงถึงขั้นเด็กฆ่าตัวตายและฆ่าเพื่อนที่คิดว่าเป็นผู้กระทำ
โดยช่วงเวลาที่เด็กไทยมักอยู่ใน วงจร Cyber bullying คือช่วง 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กใช้อินเตอร์เน็ตและทำการบ้าน แนวโน้มของการใช้ความรุนแรงลักษณะนี้ จะเกาะกินพฤติกรรมของลูกและจะมีเพิ่มมากขึ้น หากเด็กๆ ไม่ได้รับการดูแลจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิด และขาดการแนะนำหรือช่วยกันเลือกใช้แต่ด้านที่มีประโยชน์ จากจอคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
1.Retrieved from http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0
งานสำรวจเด็กในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่ามีเด็กถึง 48% ที่อยู่ในวงจร Cyber bullying โดยอาจเป็นทั้งผู้กระทำ เหยื่อ และผู้เฝ้าดูหรือส่งต่อข้อมูลไปยังกลุ่มอื่นๆ
ความรุนแรงของการทำร้ายกันผ่านโลกไซเบอร์ ที่พบเห็นในเมืองไทย มีมากมายหลายรูปแบบ อาทิเช่น เด็ก ที่เป็นเหยื่อต้องลาออกจากโรงเรียน อยู่ในภาวะเครียด นอนไม่หลับ และเป็นโรควิตกกังวล แต่ในประเทศญี่ปุ่น วงจรนี้รุนแรงถึงขั้นเด็กฆ่าตัวตายและฆ่าเพื่อนที่คิดว่าเป็นผู้กระทำ
โดยช่วงเวลาที่เด็กไทยมักอยู่ใน วงจร Cyber bullying คือช่วง 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กใช้อินเตอร์เน็ตและทำการบ้าน แนวโน้มของการใช้ความรุนแรงลักษณะนี้ จะเกาะกินพฤติกรรมของลูกและจะมีเพิ่มมากขึ้น หากเด็กๆ ไม่ได้รับการดูแลจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิด และขาดการแนะนำหรือช่วยกันเลือกใช้แต่ด้านที่มีประโยชน์ จากจอคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
1.Retrieved from http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0
2. Retrieved
from http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%8C
3. Retrieved
from http://www.healthygamer.net/information/article/98741
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)